วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2564

ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 จับกุมผู้ต้องหาโพสต์เฟสหลอกลวงผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศ

ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 จับกุมผู้ต้องหาโพสต์เฟสหลอกลวงผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศเมื่อวันที่ 5 เม.ย.64 เวลาประมาณ 14.40 น. ได้มีผู้เสียหายหลายรายได้เข้ามาขอความช่วยเหลือ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สทอ.1) เกี่ยวกับคดีหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งคนไปฝึกงานในต่างประเทศและได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง และฉ้อโกงภายใต้การสั่งการของ พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท.1 , พ.ต.อ.รชตโชต ลีวาณิชคุณ, พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษฯ พ.ต.ท.จักร ถนัดอักษร รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ท.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ คัมภีระ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษฯ ดำเนินการตรวจสอบ ทราบว่า ผู้ต้องหาคือ นายวิษณุ (สงวนนามสกุล)ต.ครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งมีหมายจับของ ศาลจังหวัดอุดรธานี และศาลจังหวัดบึงกาฬ จากการสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นสาวประเภทสอง พักอาศัยอยู่ที่แถวจังหวัดเชียงราย บริเวณอำเภอเทิง พระยาม็งราย เชียงแสน ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอนพฤติการณ์ในการ 10 เมษายน 2564 เวลาประมาณ 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท ได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.พญาเม็งราย เข้าตรวจสอบบริเวณบนถนนทางสาธารณะบ้านสันหลวง หมู่ที่ 8 ต.แม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย พบนายวิษณุ สงวนนามสกุล เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของ ศาลจังหวัดอุดรธานี ที่ 182/2563 ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งคนไปฝึกงานในต่างประเทศและได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง และ ฉ้อโกง” และอยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุม มาอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิม โดย นายวิษณุฯ มีพฤติการณ์หลบหนีโดยไปเช่าโรงแรมและพักตามบ้านเพื่อน ในพื้นที่ อ.เทิง อ.เชียงของ และ พื้นที่ อ.พญาเม็งราย จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและสั่งการให้ชุดสืบสวน สภ.เทิง และชุดสืบสวน สภ.ข้างเคียง ออกติดตาม ล่าสุดจากการสืบทราบว่า นายวิษณุฯ หลบหนีไปอยู่ที่เพื่อน ชื่อ นายเก่ง ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง บ้านสันหลวง หมู่ที่ 8 ต.แม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย จึงได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านดังกล่าว พอไปถึง พบ นายวิษณุฯ ผู้ต้องหา ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้าน เมื่อ นายวิษณุฯ เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้วิ่งหลบหนี จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้วิ่งติดตามไปและสามารถควบคุมตัวได้ และควบตัวไปยัง สภ.เม็งรายเพื่อทำการสอบสวนและบันทึก และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานีเพื่อดำเนินการต่อไปจากการสอบถามผู้เสียหายซึ่งมีประมาณ 30 คน มูลค่าความมเสียหายประมาณ ล้านกว่าบาท ทราบว่า ผุ้ต้องหาจะใช้เฟสบุ๊คชื่อ “จิมมี่ คนหางานต่างประเทศ” โพสเชิญชวนไปทำงานต่างประเทศ พอมีคนสนใจทักไป มันก็ให้เบอร์ติดต่อโทรคุย พอคุยแล้วก็ให้แอดไลน์ใว้คุยและส่งเลขบันชีโอนเงินค่าทำวีซ่า ค่าทำประกัน บางคนไปลงทะเบียนไว้ที่กรมแรงงาน ไว้แล้วมันก็แอบอ้างว่ามาจากกรมแรงงาน ติดต่อให้ไปทำงานที่ร้านนวดและมีงานสวนที่ประเทศออสเตรเลีย มันอ้างว่ามีพี่สาวอยู่ที่ออสเตรเลียแล้วมีสามีอยู่ที่ออสเตรเลียและ มันก็ให้คุยกับฝรั่งพูดไทยได้ติดต่อกันทางโทรศัพท์ แล้วก็แอดไลน์กันแล้วก็ติดต่อทางไลน์ แล้วได้ให้ข้อมูลส่วนตัวให้มันไป แล้วมันบอกให้โอนเงินค่าทำวีซ่า 25, 000 บาท และมีคราประกันโควิทอีก 15, 000 บาท โดยแต่ละคนจะโดนหลอกให้โอนไม่เท่ากัน แต่จะไม่ต่ำกว่า 4 - 5 หมื่นต่อคน
และยังทราบว่า ตัวผู้ต้องหาเคยโดนจับดำเนินคดีเดียวกันนี้ 6 7 คดี และพึ่งออกจากเรือนจำยังไม่นานมานี่และกลับมาทำพฤติการดังกล่าวอีกอยากฝากไปยังผู้ที่อยากไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการโฆษณาจัดหางาน และอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในการชักชวนคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ให้จ่ายเงินเกินจริง และอ้างว่าสามารถพาไปทำงานได้ รวมทั้ง อ้างว่าทำงานในหน่วยงานของรัฐหรือเป็นบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย จะดีทีสุด ผู้กระทำความผิดจะดำเนินคดีตามมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 อย่างจริงจัง ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่หลอกลวงคนหางานว่าสามารถหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศ จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000- 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.ทรงวุฒิ ทับทอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน อ่านเพิ่มเติม
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของคุณ อ่านเพิ่มเติม